Bmw's smallest is coming

It isn't game over for Volkswagen yet. Next week, BMW will launch the X1 in Thailand at the Bangkok Motor Show (after repeatedly saying that it won't come to Thai shores).

By being fractionally smaller than the X3, BMW's smallest SUV will be a better match to the Tiguan. Which one will offer a more livable package remains to be seen. Performance wise, the X1 will have an edge. It gets the same 2.0-litre turbo-diesel as the X3.



The sticking point would be price. In imported form, the X1 could cost just as much as today's Thai-built X3 between B3.3-3.8m. The only way the X1 can outwit the Tiguan in price is to head for the wrench-holders in Rayong.


Credit: http://www.bangkokpost.com/

วิธีง่ายๆ ในการประหยัดน้ำมัน

วิธีง่าย ๆ ที่คุณ เติมกระเป๋าตังส์ตัวเองได้ ด้วยตัวคุณ



1. ตรวจตราลมยางเป็นประจำ เพราะยางที่อ่อนเกินไปนั้น ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่ายางที่มีปริมาณลมยางตามที่มาตรฐานกำหนด




2. สับเปลี่ยนยาง ตรวจตั้งศูนย์ล้อตามกำหนด จะช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกมาก




3. ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อต้องจอดรถนานๆ แค่จอดรถติดเครื่องทิ้งไว้ 10 นาที ก็เสียน้ำมันฟรีๆ 200 ซีซี



4. ไม่ควรติดเครื่องทิ้งไว้เมื่อจอดรถ ให้ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่ขึ้นของ ลงของ หรือคอยคน เพราะการติดเครื่องทิ้งไว้ เปลืองน้ำมันและสร้างมลพิษอีกด้วย






5. ไม่ออกรถกระชากดังเอี๊ยด การออกรถกระชาก 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมันไปเปล่าๆ ถึง 100 ซีซี น้ำมันจำนวนนี้รถสามารถวิ่งได้ไกล700 เมตร




6. ไม่เร่งเครื่องยนต์ตอนเกียร์ว่างอย่างที่เราเรียกกันติดปากว่าเบิ้ลเครื่องยนต์ การกระทำดังกล่าว 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมันถึง 50 ซีซี ปริมาณน้ำมันขนาดนี้รถวิ่งไปได้ตั้ง 350 เมตร



7. ตรวจตั้งเครื่องยนต์ตามกำหนด ควรตรวจเช็คเครื่องยนต์สม่ำเสมอ เช่น ทำความสะอาดระบบไฟจุดระเบิด เปลี่ยนหัวคอนเดนเซอร์ ตั้งไฟแก่อ่อนให้พอดี จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 10%





8. ไม่ต้องอุ่นเครื่อง หากออกรถและขับช้าๆ สัก 1-2 กม. แรกเครื่องยนต์จะอุ่นเอง ไม่ต้องเปลืองน้ำมันไปกับการอุ่นเครื่อง



9. ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เพราะเครื่องยนต์จะทำงานตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น หากบรรทุกหนักมาก จะทำให้เปลืองน้ำมันและสึกหรอสูง





10. ใช้ระบบการใช้รถร่วมกัน หรือคาร์พูล (Car pool) ไปไหนมาไหน ที่หมายเดียวกัน ทางผ่านหรือใกล้เคียงกัน ควรใช้รถคันเดียวกัน




11. เดินทางเท่าที่จำเป็นจริงๆ เพื่อประหยัดน้ำมัน บางครั้งเรื่องบางเรื่องอาจจะติดต่อกันทางโทรศัพท์ก็ได้ ประหยัดน้ำมันประหยัดเวลา





12. ไปซื้อของหรือไปธุระใกล้บ้านหรือใกล้ๆ ที่ทำงาน อาจจะเดินหรือใช้จักรยานบ้าง ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ทุกครั้ง เป็นการออกกำลังกายและประหยัดน้ำมันด้วย






13. ก่อนไปพบใคร ควรโทรศัพท์ไปถามก่อนว่าเขาอยู่หรือไม่ จะได้ไม่เสียเที่ยว ไม่เสียเวลา ไม่เสียน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์



14. สอบถามเส้นทางที่จะไปให้แน่ชัด หรือศึกษาแผนที่ให้ดีจะได้ไม่หลง ไม่เสียเวลา ไม่เปลืองน้ำมันในการวนหา




15. ควรใช้โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ อินเตอร์เน็ท หรือใช้บริการส่งเอกสาร แทนการเดินทางด้วยตัวเอง เพื่อประหยัดน้ำมัน





16. ไม่ควรเดินทางโดยไม่ได้วางแผนการเดินทาง ควรกำหนดเส้นทาง และช่วงเวลาการเดินทางที่เหมาะสมเพื่อประหยัดน้ำมัน





17. หมั่นศึกษาเส้นทางลัดเข้าไว้ ช่วยให้ไม่ต้องเดินทางยาวนานไม่ต้องเผชิญปัญหาจราจร ช่วยประหยัดทั้งเวลาและประหยัดน้ำมัน





18. ควรบับรถด้วยความเร็วคงที่ เลือกขับที่ความเร็ว 70-80กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 2,000-2,500 รอบเครื่องยนต์ ความเร็วระดับนี้ ประหยัดน้ำมันได้มากกว่า





19. ไม่ควรขับรถลากเกียร์ เพราการลากเกียร์ต่ำนานๆ จะทำให้เครื่องยนต์หมุนรอบสูงกินน้ำมันมาก และเครื่องยนต์ร้อนจัดสึกหรอง่าย





20. ไม่ติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นเช่น การทำให้เกิดการต้านลมขณะวิ่ง หรือทำให้เครื่องยนต์ ไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี



21. ไม่ควรใช้น้ำมันเบนซินที่ออกเทนสูงเกินความจำเป็นของเครื่องยนต์ เพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์





22. หมั่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองอากาศตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อประหยัดน้ำมัน




23. สำหรับเครื่องยนต์แบบเบนซิน ควรเลือกเติมน้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด ถูกประเภท โดยเลือกตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับรถแต่ละยี่ห้อ (สังเกตจากฝาปิดถังน้ำมันด้านใน หรือรับคู่มือที่ปั้มน้ำมันใกล้บ้าน




24. ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ยามเช้าๆเปิดกระจกรับความเย็นจากลมธรรมชาติบ้างก็สดชื่นดี ประหยัดน้ำมันได้ด้วย





25. ไม่ควรเร่งเครื่องปรับอากาศในรถอย่างเต็มที่จนเกินความจำเป็นไม่เปิดแอร์แรงๆ จนรู้สึกหนาวเกินไป เพราะสิ้นเปลืองพลังงาน


* * * * * * * * * * * * * *

Mazda 2 Sedan มาสด้า2 ซีดาน

Mazda 2 Sedan 2010 Review



    หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กับการส่ง “มาสด้า2” รุ่นแฮ็ทช์แบ็ก 5 ประตู ที่ในระยะเวลาเพียง 3 เดือน โกยยอดขายไปแบบถล่มทลายเกือบ 7,000 คัน ล่าสุดลงดาบสองเขย่าตลาดเก๋งซับคอมแพ็กต์ หรือบี-คาร์อีกระลอก กับ “มาสด้า2 ซีดาน” หรือรุ่น 4 ประตู (ตั้งเป้ายอดขายรุ่นซีดานรวมกับรุ่นแฮ็ทช์แบ็กประมาณ 2.4 หมื่นคัน) มาช่วยกันดันยอดขายรวมมาสด้าปีนี้พุ่ง 3.5 หมื่นคัน


โดยมาสด้า2 ซีดาน ยังคงตอกย้ำความเป็นยนตรกรรมสปอร์ตที่มีสไตล์เหมาะเฉพาะตัว ตรงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ “เจ็นนาว” หรือ Generation NOW ผ่านพรีเซ็นเตอร์ขวัญใจชาวเจ็นนาว “เป้” อารักษ์ อมรศุภศิริรายเดิม แต่เพื่อสร้างความแตกต่างจากรุ่นแฮ็ทช์แบ็ก จึงมาคอนเซ็ปต์ใหม่ "New Mazda2 Life Continues เพราะชีวิตท้าทาย...ไม่ได้มีแค่สไตล์เดียว" ที่บ่งไปเลยว่า มาสด้า2 ยังมีอีกทางเลือกกับอีกตัวถังที่เป็นแบบซีดาน 4 ประตู แต่ยังรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมาสด้าแบบ "ซูม-ซูม" ด้วยดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวเร้าใจ การขับขี่สนุกสนาน และเพิ่มความหรูอีกระดับ ด้วยห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย พร้อมระบบความปลอดภัยครบครันเช่นเดิม




อย่างไรก็ตาม ปัญหาของเก๋งซีดานขนาดเล็ก ที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับรุ่นแฮ็ทช์แบ็ก 5 ประตู อยู่ที่การออกแบบในส่วนท้าย ซึ่งดูไม่กลมกลืนเป็นอันหนึ่งเดียวกัน แต่มาสด้า2 ได้ลบปัญหานี้ไปได้อย่างลงตัว แต่ยังรักษาเส้นสายที่แสดงให้เห็นพลังแห่งความเคลื่อนไหวตามคอนเซ็ปเช่นเดิม


ในส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระในกระโปรงท้าย มีความจุ 450 ลิตร (VDA) มากกว่ารุ่น 5 ประตู 200 ลิตร ด้วยการออกแบบให้พื้นของพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีระดับที่ต่ำ และฝากระโปรงท้ายและขอบโดยรอบเปิดกว้างมากที่สุด ทำให้การจัดเก็บและเคลื่อนย้ายสัมภาระเป็นไปได้อย่างสะดวก




นอกจากนี้เบาะที่นั่งด้านหลัง สามารถแยกพับได้สองส่วนในอัตราส่วน 60:40 และเปิดทะลุกับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ทำให้สามารถจัดวางสัมภาระที่มีความยาวได้ในขณะที่ยังสามารถรองรับผู้โดยสารด้านหลังได้หนึ่งคน นอกจากนี้มาสด้า 2 ซีดาน ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบกุญแจอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry and Start System) ที่ให้ความสะดวกในการเปิด-ปิด และสตาร์ทรถโดยไม่ใช่กุญแจ พร้อมด้วยวิทยุ CD-MP3 6แผ่น พร้อมช่องเชื่อมอุปกรณ์เสริม AUX



ขุมพลังของมาสด้า2 ซีดาน ยังคงเป็นเครื่องยนต์ MZR 1.5 ขนาด 1,498 ซีซี. 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน (S-VT) Sequential Valve Timing และวาล์วควบคุมในท่อร่วมไอดี (TSCV) Tumble Swirl Control Valves 103 แรงม้า ให้กำลังสูงสุด 76 กิโลวัตต์ ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตรที่4,000 รอบต่อนาที โดยมีให้เลือกทั้งในรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด
 
 
 
 
 


มาสด้า2 ซีดาน มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่

รุ่น Groove M/T ราคาจำหน่าย 535,000 บาท
รุ่น Groove A/T ราคาจำหน่าย 564,000 บาท
รุ่น Spirit S A/T ราคาจำหน่าย 615,000 บาท
รุ่น Maxx A/T     ราคาจำหน่าย 675,000 บาท

ทั้งนี้ราคาในรุ่นเริ่มต้นของตัวถังซีดานจะเท่ากับแฮทซ์แบ็ก แต่อีก 3 รุ่นที่เหลือ Groove A/T,Spirit S A/T,Maxx A/T,จะถูกกว่าตั้งแต่ 6,000 - 25,000 บาท ขณะเดียวกันผู้บริหารยืนยันว่าลูกค้าที่จองซื้อมาสด้า 2 ไม่ต้องรอนานเนื่องจากมาสด้าเริ่มสายการผลิตและมีรถพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าทันทีทุกรุ่น

All New 2010 Nissan Patrol First Promo

All New 2010 Nissan Patrol First Promo




The Patrol is back as an all-new seventh generation model, building on its impressive history, but at the same time, incorporating a new platform, a radical new design direction, significantly enhanced interior comfort and luxury, powerful new V8 engines, a 7-speed automatic transmission and a new 4WD system.

Credit: http://www.youtube.com/watch?v=0gA0kKDlFgo



Nissan Patrol 2010






Interior Design



วิธีการพ่วงแบตเตอรี่สตาร์ท (จัมป์สตาร์ท) รถยนต์ที่ถูกต้อง

How to Jump Start a Car Battery Safely
ขั้นตอนสตาร์ทรถโดยการพ่วงแบตเตอรี่ที่ถูกต้องและปลอดภัย

รูป 1


รูป 2


1. ต่อสายขั้วบวก (สายสีแดง) เข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่ที่ตายอยู่

2. ต่อสายขั้วบวกอีกข้างเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่ดี

3. ต่อสายขั้วลบ (สายสีดำ) เข้ากับขั้วลบแบตเตอรี่ดี

4.ต่อสายขั้วลบอีกข้างเข้ากับเครื่องยนต์ (หูหิ้วเครื่อง รูป 2) หรือตัวถังที่ไม่ได้พ่นสี ของรถคันที่แบตเตอรี่ตาย
**(มอเตอร์สตาร์ทอยู่ที่เครื่อง เป็นการลดทางเดินของกระแสให้สั้นที่สุด ทำให้สตาร์ทง่ายขึ้น)

5.สตาร์ทรถคันที่แบตเตอรี่ดี เร่งเครื่องให้รอบเครื่องขึ้นมาประมาณ 1200-1500 รอบ/วินาที สักพัก (เป็นการชาร์จแบตเตอรี่ กรณีนี้จะทำหรือไม่ก็ได้)

6.สตาร์ทรถคันที่แบตเตอรี่ตาย

ขั้นตอนถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ออก หลังจากที่รถสตาร์ทติดแล้ว


1. ถอดสายขั้วลบออกจากเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตเตอรี่ตาย

2. ถอดสายขั้วลบอีกข้างออกจากแบตเตอรี่ดี

3. ถอดสายขั้วบวกออกจากแบตเตอรี่ดี

4. ถอดสายขั้วบวกอีกข้างออกจากแบตเตอรี่ตาย
 
*ไม่ควรต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ที่ขั้วต่อโดยตรงแบบ บวก บวก / ลบ ลบ
เนื่องจากการชาร์จไฟตั้งแต่ 13.8V ขึ้นไปจะทำให้เกิดแก๊สติดไฟได้ (แรงดันระดับ Gasung-Spannung)   หากแบตเตอรี่เก่าหมดสภาพ (แรงดันไฟต่ำมาก) เมื่อต่อพ่วงกับแบตเตอรี่ใหม่ (แรงดันไฟสูงมาก) มีโอกาสเกิดแก๊สในระดับที่สามารถทำให้ระเบิดได้ หากเกิดประกายไฟ ซึ่งโอกาสเกิดมีน้อย แต่ควรปฏิบัติให้ถูกวิธีและปลอดภัยไว้ก่อน ซึ่งในหนังสือคู่มือรถก็ระบุเช่นกัน

สาระน่ารู้... การใช้สัญญาณไฟหน้า-ไฟฉุกเฉิน

        รถยนต์สมัยนี้มักจะติดไฟสัญญาณแปลกๆ ซึ่งบางทีกฎหมายจราจรที่ค่อนข้างจะโบราณ ก็ไม่ได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่าอนุญาตให้ใช้สัญญาณอะไรบ้าง ทำให้หลายคนเลือกติดและใช้กันตามอำเภอใจ จนกลายเป็นธรรมเนียมที่หลายคนปฏิบัติต่อๆ กันมา


        ความจริงแล้ว ไฟต่างๆ เหล่านี้ เป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง และในเรื่องของความปลอดภัยบนท้องถนน ถือว่า "สัญญาณ" นั้นเป็นภาษาของถนน ซึ่งต้องเป็นสากล หมายความว่าไม่ว่าชนชาติใด พูดภาษาใด จะต้องฟังหรืออ่านภาษาของถนนอันเป็นสากลนี้เข้าใจแจ่มชัดเหมือนกันหมด เป็นภาษาเดียวกัน





ไฟหน้าเจ้าปัญหา-สื่อสารผิดๆ


ไฟสัญญาณอันดับแรกที่กลายเป็นธรรมเนียมอันไม่เป็นสากล และน่าจะเกิดอันตรายก็คือ ไฟหน้าใหญ่ ที่ผู้ขับขี่ยวดยานชอบเปิดกัน แว็บๆ ให้หลายคนสงสัยว่ามันหมายความว่าอะไรกันแน่ ในประเทศไทยเรานั้น แปลกันเองได้ความว่า "เอ็งอย่ามาข้าจะไป" หรือ "ผมไปก่อนนะ" หรือ "อั๊วใหญ่กว่าไปก่อน" อะไรทำนองนั้น ก็พอจะเข้าใจกันในประเทศไทยเราว่าหมายความว่าอย่างนั้น ธรรมเนียมนี้ก็ค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ จนบัดนี้บนท้องถนนหลวงเข้าใจกันได้อีกความหมายหนึ่งว่า เมื่อรถที่วิ่งสวนมาบนถนนหลวงให้สัญญาณไฟหน้า แว็บๆ ล่ะก็ ให้เตรียมระวังว่าอย่าขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด อย่าเดินรถในช่องทางขวา อย่าแซงทางซ้าย ฯลฯ เพราะข้างหน้ามีหน่วยตำรวจทางหลวงคอยดักจับอยู่ สัญญาณนี้เลยกลายเป็นสัญญาณประสานสามัคคีกันในหมู่ผู้ใช้รถบนถนนหลวงไปอีก ความหมายหนึ่ง


ส่วนในต่างประเทศบางแห่ง เช่น ในยุโรปและประเทศอังกฤษ ไฟแว็บหน้าที่เปิดกันแว็บๆ นั้น สัญญาณนี้แปลได้ว่า "เชิญคุณไปได้ ผมให้ทางคุณ" ดังนั้น พวกฝรั่งพวกนี้มาขับรถในเมืองไทย เห็นพี่ไทยเปิดไฟไห้แว็บๆ ก็นึกว่าเหมือนบ้านตัวก็ออกพรวดไปเลย จึงมักจะถูกชนซี่โครงหักไปหลายราย นี่ก็คืออันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เป็นภาษาสากล แต่อ่านแปลให้ผิดเพี้ยนไปตามวัฒนธรรมของแต่ท้องถิ่นแต่ละประเทศ




แท้จริงแล้วไฟหน้านี้ใช้ทำอะไรและในภาษาสากลหมายความว่าอย่างไร


ไฟแว็บหน้าใหญ่นั้น จริงๆ แล้วแปลว่า "ระวัง" หรือ "ผมอยู่ตรงนี้" เพื่อเตือนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้ระมัดระวังว่ามีรถอีกคันอยู่ตรงนี้ หรืออีกนัยหนึ่งสัญญาณนี้ใช้แทนสัญญาณแตร ในกรณีที่ใช้แตรไม่ได้ เช่นในเวลากลางคืน กฎหมายห้ามใช้แตร หรือ ในสถานที่ที่มีเครื่องหมายห้ามใช้แตร เพราะจะรบกวนบุคคลอื่น เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ราชการ หรือกรณีที่เป็นกลางวัน จะใช้เตือนรถที่หันหน้าเข้าหา ใช้ไฟแว้บเตือนให้ระวังจะดีกว่าเสียงแตร เพราะแสงนั้นเดินทางได้เร็วกว่าเสียหลายเท่าตัวนัก


นอกจากนั้นยังมีสัญญาณไฟฉุกเฉินที่วัฒนธรรมผันแปร จนเกิดอุบัติถึงแก่ชีวิตในทางหลวงหลายรายแล้ว คือสัญญาณไฟฉุกเฉินนั้น รถสมัยนี้จะติดมาให้ทุกคัน เป็นสัญญาณไฟเหลืองกะพริบทั้งหน้าหลังซ้ายขวารวม 4 ด้าน ตามวัฒนธรรมบ้านเรา หากรถถูกลากจูงก็จะเปิดไฟฉุกเฉินนี้ทันที หรือถ้าผ่านสี่แยกจะไปทางตรงส่วนใหญ่ก็จะเปิดไฟฉุกเฉินนี้ทันที จุดนี้สร้างอันตรายอย่างมากบนทางหลวง เพราะการให้สัญญาณที่ผิดและไม่เป็นสากล


นั่นเพราะว่าผู้ที่สวนทาง หรือผู้ที่ตามหลัง คงจะเดาได้ว่ารถคันที่ให้สัญญาณนี้คงจะไปตรงแต่รถที่ผ่านสี่แยกทางด้านข้าง จะอ่านสัญญาณที่ผิดทันที เพราะจะเห็นสัญญาณเพียงด้านข้าง ข้างหนึ่งข้างใดแค่เพียงด้านเดียว ทำให้เข้าใจว่ารถคันที่ให้สัญญาณฉุกเฉินนี้จะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา แล้วแต่รถคู่กรณีจะอยู่ทางใด เมื่ออ่านผิด รถคันที่อ่านผิดก็จะออกรถไปในทางตรงทันที ก็เกิดชนกันกลางสี่แยกถึงบาดเจ็บล้มตายไปมากจึงขอให้นักขับรถทั้งหลาย พึงระวังในการใช้ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้ให้มาก



ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้ใช้อย่างไรจึงจะถูกต้อง


ชื่อก็บอกว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน คือหมายความว่า รถคันเกิดเหตุนั้นไปไม่ได้เพื่อให้รถคันอื่นๆ ทราบว่ารถเราเสียไปไม่ได้ต้องจอดขวางทางอยู่ หรือต้องจอดอยู่เฉยๆ หรือรอความช่วยเหลือ หรือจอดเพื่อดูแลซ่อมแซมอยู่ก็เปิดไฟฉุกเฉินไว้เพื่อให้รถคันอื่นได้รับทราบ หรือขณะที่ขับอยู่บนถนนหลวงมีเหตุที่ต้องจอด เพราะมีสิ่งกีดขวางถนนอยู่จนไม่สามารถเคลื่อนรถได้ ก็ให้เปิดไฟฉุกเฉินนั้น เพื่อให้รถตามหลังมาทราบว่าขณะนี้รถเราจอดอยู่นิ่งๆ บนท้องถนน ความปลอดภัยก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวเราผู้ขับขี่ และแก่บุคคลอื่นที่ตามเรามา จะได้อ่านสัญญาณนี้ออกเป็นภาษาเดียวกัน


กล่าวโดยสรุปก็คือ ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้ จะใช้ต่อเมื่อรถนั้นได้จอดอยู่กับที่เท่านั้น ห้ามไปใช้วิ่งบนท้องถนนแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน บางกรณีที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ เมื่อรับคนเจ็บป่วยต้องการรีบนำไปส่งโรงพยาบาล ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เปิดไฟฉุกเฉินแล้ววิ่ง เพื่อจะได้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ แต่มักปรากฎว่าทั้งคนขับคนเจ็บและญาติ ไม่ค่อยจะถึงโรงพยาบาลส่วนมากจะถึงเพียงสี่แยกใดสี่แยกหนึ่งเท่านั้น


ขับรถหากระมัดระวัง ใช้กฎแห่งความปลอดภัยโดยถูกต้อง ทั้งเทคนิคการขับและสัญญาณให้เป็นสากลโดยแท้ ท่านก็จะเป็นผู้ขับรถอย่างปลอดภัยตลอดไป






ที่มา : บริษัท เชลล์แห่งประเทศ ไทย จำกัด

ระวัง! รถเชื้อเพลิง 2 ระบบ แก๊สและน้ำมัน

    
              พอดีไปอ่านเจอกระทู้ดีๆ ในบอร์ดพันทิป ห้องรัชดา เจ้าของกระทู้ซึ่งมีความรู้ด้านเครื่องยนต์บ้าง ได้รับการร้องขอให้ช่วยดูเครื่องยนต์รถที่จอดอยู่ สาเหตุคือ สตาร์ทไม่ติด ซึ่งรถคันดังกล่าวใช้เชื้อเพลิง 2 ระบบ แก๊ส+น้ำมัน โดยปกติเจ้าของรถจะสตาร์ทน้ำมันแต่คราวนี้ไม่ติด ซึ่งรถจอดอยู่บนพื้นที่เอียงราด และน้ำมันในถังเหลือน้อย เจ้าของกระทู้จึงช่วยเข็ญรถลงไปจอดบนพื้นราบไม่ลาดเอียง แล้วลองให้เจ้าของรถสตาร์ท ผลคือ สตาร์ทติดทันที  ..

              ปัญหาของรถคันนี้คือใช้เชื้อเพลิง 2 ระบบคือ ติดแก๊ส+น้ำมัน และน้ำมันเหลือน้อย จอดบนพื้นลาดเอียง ทำให้ไม่สามารถดูดน้ำมันจากถังเพื่อทำการสตาร์ทได้ ดังนั้นหากรถท่านมีอาการนี้ ให้ลองดูบริเวณที่ท่านจอดรถว่าอยู่บนพื้นราบที่ไม่ลาดเอียงหรือไม่ก่อนในเบื้องต้น หากตรวจสอบและแก้ปัญหาเบื้องต้นนี้แล้วยังไม่สามารถสตาร์ทได้ .... ตามช่างครับ ^^

New Proton Persona Minorchange 2010

สวัสดีครับวันนี้ผมขอ Review ย่อมๆ รถยนต์สัญชาติมาเลเชี่ยนที่เข้ามาทำตลาดเมืองไทยไม่นานมานี้ ..  "New Proton Persona Minorchange 2010" ซึ่งเปิดตัวในประเทศมาเลเซียไม่กี่วันที่ผ่านมาแต่สำหรับในบ้านเรารถยี่ห้อโปรตอนยังไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก เนื่องมาจากตลาดรถบ้านเรารถจากญี่ปุ่นเป็นผู้ครองใจผู้ใช้รถมานานนม! ทำให้เป็นการยากที่น้องใหม่อย่าง Proton ของเพื่อนบ้านเราจะตีตลาดง่ายๆ  ผมไม่ขอพูดถึงจุดเด่นจุดด้อยในการเจาะตลาด  เราไปดู mini review กันเลยดีกว่าครับ

กระจังหน้าคล้ายรุ่น Gen-2

ไฟหน้าเป็นโคมดำดูขรึม

ด้านข้าง : เสริมหล่อด้วยสเกิร์ตรอบคัน แม็กขอบ 15"


ด้านหลังเปลี่ยนไฟท้ายแบบใหม่ , กระโปรงหลังเสริมสปอยเลอร์ในตัว


ไฟท้ายใหม่เป็นแบบ LED สวยขึ้น


กระจกมองข้างใหม่พร้อมไฟเลี้ยว อินเทรนด์


ภายในสวยงาม


แผงมาตรวัดดีไซน์ใหม่..เรืองแสง


วิทยุ CD + MP3 แบบ 1 DIN พร้อมช่องเสียบ USB ของ Blaupunkt


ช่องเก็บของด้านคนขับ


แผงควบคุมข้างประตูฝั่งคนขับ


ลิ้นชักเก็บของ

เบาะหนังดีไซน์ใหม่ หนังดำเดินตะเข็บขาว

ห้องเก็บสัมภาระท้าย พับเบาะหลังเพิ่มเนื้อที่ใช้สอยได้


คลิกดู..รายละเอียดในแต่ละรุ่น

** ราคาเปิดตัวในมาเลเซีย (สกุลเงิน-ริงกิตมาเลเซีย)

Base Line (M)        RM 46,499
Base Line (A)        RM 49,499
Medium Line (M)  RM 52,999
Medium Line (A)  RM 55,999
High Line (A)        RM 59,999




Honda เรียกคืนรถอีกสี่แสนคัน ปัญหาเบรคอ่อน

AFP - ฮอนด้า เผยเรียกคืนรถยนต์ 412,000 คันในสหรัฐฯ หลังลูกค้าร้องเรียนต่อปัญหาเบรคอ่อน บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวันอังคาร(16 มี.ค.53)


บริษัทฮอนด้า ระบุว่าปัญหานี้เกิดจากมีอากาศสะสมในโมดูเลเตอร์ ที่ช่วยให้รถไม่เสียการทรงตัวระหว่างเบรค จนต้องเหยียบแป้นเบรคให้เข้าไปใกล้พื้นมากกว่าปกติรถยนต์ถึงจะหยุดลง และการเรียกคืนครั้งล่าสุดนี้ครอบคลุมถึงฮอนด้า ออดิสซีย์และฮอนด้า เอเลเมนต์ รุ่นปี 2007-2008


เหตุเรียกคืนครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นเพียง 1 เดือนหลังจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่นแห่งนี้ได้เรียกคืนรถยนต์ทั่วโลก 400,000 คัน จากปัญหาแรงดันในถุงลมนิรภัยพองตัวด้วยความแรงเกินมาตรฐาน ส่งผลให้ผู้ขับรถบาดเจ็บหนักแทนที่จะช่วยให้ปลอดภัย


นอกจากนี้เมื่อเดือนมกราคม ฮอนด้า ก็เพิ่งเรียกคืนรถยนต์รุ่นฟิตอีกกว่า 191,000 คันในสหรัฐฯ ความขัดข้องของสวิทช์หน้าต่างไฟฟ้าที่อาจเกิดไฟลุกไหม้หากมีน้ำรั่วเข้าไปยังแหล่งพลังงานหลักของสวิตช์หน้าต่าง


ฮอนด้า ระบุว่าได้รายงานอุบัติเหตุต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเบรคแก่หน่วยควบคุมด้านความปลอดภัยแล้ว อย่างไรก็ตามทางบริษัทชี้ว่าอุบัติเหตุเหล่านั้นอาจไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาเบรคอ่อน


โฆษกของฮอนด้าเปิดเผยว่าทางบริษัทจะส่งหนังสือถึงลูกค้าในเดือนหน้าเพื่อขอนัดหมายให้นำรถมาติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอากาศแทรกซึมต่อไป

ข่าวครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับรถรุ่น Honda Odyssey (ซึ่งเป็นคนละตัวถังกับบ้านเรา) และ Honda Element ซึ่งไม่ได้มีขายในบ้านเรา

ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3+

ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ....

-ประกันภัยประเภท3 ... ถ้าเราถูกเราต้องเรียกร้องเอง ถ้าเราผิดประกันเราชดใช้คู่กรณี.


-ประกันภัยประเภท3+ ... ถ้าเราถูก และเข้าเงื่อนไขกรมธรรม์ ประกันเราจะชดใช้ให้เรา แต่ถ้าเราผิด ประกันเราชดใช้คู่กรณี และเข้าเงื่อนไขการซ่อมรถเรา ต้องจ่ายexcess 2,000 บาทตามเงื่อนไขกรมธรรม์.


ค่าเสื่อมราคาของรถ เวลารถยนต์เคยเกิดอุบัติเหตุ และรถยนต์ที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย ราคารถยนต์จะต่างกัน.


ค่าขาดประโยชน์และภาระที่เพิ่มขึ้น
ถ้าเราต้องใช้รถยนต์ในการทำงาน เวลาที่เราไม่มีรถยนต์ เราต้องเช่ารถยนต์มาใช้ทดแทน ทำให้เราขาดประโยชน์ เราสามารถเรียกร้องจากคู่กรณีได้ครับ


โดยส่วนใหญ่การเรียกร้องจากส่วนนี้ค่อนข้างยุ่งยาก เนื่องจากเราต้องแสดงหลักฐานภาระหรืออาชีพของเรา เจ้าของรถจะโยนให้ประกัน ประกันจะต่อรองกับเราค่อนข้างมาก ยกเว้นเรามีหลักฐานชัดเจน เช่นเราเป็นเซล ต้องเดินทางประจำ เวลาไม่มีรถยนต์เราต้องเช่ารถยนต์ทดแทน และมีหลักฐานและค่าใช้จ่ายชัดเจน.

ต่ออายุใบขับขี่ล่วงหน้าได้กี่วัน

ข้อกำหนดในการต่ออายุใบขับขี่ที่ควรรู้


ใบขับขี่ชนิดชั่วคราว1 ปี ต่อเป็น 5 ปี(ชนิดส่วนบุคคล)สามารถต่อล่วงหน้าได้ 60 วัน ก่อนวันสิ้นอายุ
ที่ระบุไว้ในบัตร



หลักฐานที่ใช้
  • สำเนาบัตรประชาชน

  • ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์/รถจักรยานยนต์

  • ใบรับรองแพทย์



ใบขับขี่ชนิดส่วนบุคคล 5 ปี ต่ออีก 5 ปี สามารถต่อล่วงหน้าได้ 90 วัน ก่อนวันสิ้นอายุที่ระบุไว้ในบัตร


หลักฐานที่ใช้
  • สำเนาบัตรประชาชน

  • ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์/รถจักรยานยนต์

** ส่วนใบรับรองแพทย์ ไม่ต้องใช้ครับ



ถ้าดึงเบรกมือ ขณะขับรถ จะเกิดอะไรขึ้น?

ถ้าดึงเบรกมือ ขณะขับรถด้วย "ความเร็ว 30 km/hr " จะเกิดอะไรขึ้น
ในกรณีพื้นเป็นสนามหญ้า , พื้นกรวด และพื้นคอนกรีต


รถหยุดทันที รถหมุน หรือรถชะลอแล้วค่อยหยุด หรืออย่างอื่น




* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


ความคิดเห็นที่ 3

ตอนดึงเบรคมือ ถอนคันเร่ง หรือ เปิดคันเร่งอยู่ตำแหน่งเดิมครับ ?

ถ้าถอนคันเร่ง ล้อหลังจะเริ่มล๊อค
ไถลเบา ๆ ถ้าตัวรถตั้งตรงอยู่
รถอาจไถลตรง ๆ หรือไถลเฉ แล้วแต่ท้ายจะไหลหรือไม่ไหลครับ

ส่วนถ้าคันเร่งยังเปิดอยู่ตำแหน่งเดิม
ผมว่า เบรคมือแพ้แรงเครื่องยนต์ครับ
รถอาจแทบไม่ลดความเร็วเลยก็ได้

จากคุณ : Non-Slim



--------------------------------------------------------------------------------



ความคิดเห็นที่ 9

ผมเคยลองที่ประมาณ 50 กม./ชม. บนถนนต่างจังหวัดโล่งๆ ไม่มีรถเลย ดึงแล้วผ่อนคันเร่งนิดนึง ผลคือล้อหลังล๊อคแต่รถยังไถลไปข้างหน้าตรงๆ ความรู้สึกเหมือนรถลอยๆ คล้ายๆจะควบคุมไม่ได้แต่พอปลดเบรคมือก็วิ่งไปต่อปกติครับ

ถ้าอยากลองหาสนามหรือลานโล่งๆน่าจะปลอดภัยกว่าครับ

จากคุณ : whocares


--------------------------------------------------------------------------------



ความคิดเห็นที่ 17

จะเกิดอาการ ท้ายรถจะกดต่ำลง เพราะแรงเบรค มากน้อยต่างกันไปตามแต่
ชนิดช่วงล่างด้านหลัง

ดึงแรงมากๆ ล้อก็จะล็อคตาย ไถลไป วิ่งตรงก็ไม่เท่าไร (เคยทำครั้งนึง ดังลั่นเลย)
ถ้่าเข้าโค้งอยู่ท้ายจะกวาดนิดๆ เพราะรถวิ่งไม่เร็ว ไม่น่าเป็นอะไร โมเมนตั้มไม่มาก
ดึงพอเหมาะ รถก็ช้าลง แล้วก็หยุด
ใช้ฉุกเฉินเมื่อเบรคแตกได้ เพราะคนละวงจรกันกับระบบปกติ

สภาพผิวถนนต่างกัน ผลต่างกัน
พื้นหญ้า ไถลเงียบๆ พร้อมขุดดินไปพลางๆ
พื้นกรวด ครืดๆ เสียงดัง แหวกหินกรวดไปเป็นทาง
พื้นคอนกรีต เสียงเอี๊ยดดังที่สุด ระยะเบรคสั้นกว่า และยางสึกไปเยอะเลย

แรงจับของเบรค ถ้า 2 ข้างไม่เท่ากัน รถอาจจะท้ายปัดได้

จากคุณ : kosmo



--------------------------------------------------------------------------------



ความคิดเห็นที่ 20

ถ้าเป็นรถใหม่ สัญญาณเบรดมือจะดัง รำคาญ+หนวกหู
ถ้าวิ่งมาตรง ๆ รถจะหยุด ไม่เกิน 4-5 วิ นอกจากจะเร่งความเร็วฝืนระบบเบรค
ถ้าดึงเบรคมือขณะเข้าโค้ง รถขับหน้า พอไถลไปได้เล็กน้อยขึ้นอยู่กับความเร็วและพื้นถนน
แต่ถ้าเป็นรถขับหลัง ฝึกชำนาญแล้ว ความเร็วไม่เกิน 60 กม/ชม ก็จะดริฟท์แบบท้ายปัดได้ครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รถที่ไม่ได้ปรับแต่งมา ความเร็วไม่สูงอาจจะแค่ผ้าเบรคสึกนิดหน่อย แต่ถ้าความเร็วสูง+พื้นคอนกรีตยางอาจเสื่อมสภาพเร็วได้ครับ

จากคุณ : Cho_shang


--------------------------------------------------------------------------------



ความคิดเห็นที่ 21

รถก็จะค่อยๆ หยุดครับ ไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่หักพวงมาลัย

จากคุณ : puylogin


--------------------------------------------------------------------------------


Credit: http://www.pantip.com/cafe/ratchada/

การจองเลขทะเบียนรถยนต์ใหม่

การจองเลขทะเบียนรถยนต์ใหม่มี 2 แบบดังนี้


1. เลขหมวดที่ต้องประมูล

เป็นพวกเลขสวย เลขตอง, ห่าม หรือเบิ้ลต้องเข้าไปประมูล มีเปิดประมูลเป็นช่วงๆ แต่ละหมวด แต่ละหมายเลขราคาเริ่มต้นก็ไม่เท่ากัน

-การเข้าร่วมประมูลหมายเลขทะเบียนรถของกรมการขนส่งทางบกโดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. ป้ายทะเบียนจังหวัดกรุงเทพฯ จัดประมูลเป็นประจำทุกเดือนที่กรมการขนส่งทางบก โทรสอบถาม 1584, 0-2271-8704-7, 0-2643-2442

2. ป้ายทะเบียนต่างจังหวัด การจัดประมูลไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการจดทะเบียนรถเก๋งของจังหวัดนั้น เช่น จังหวัดชลบุรีจัดประมูลทุกปี จังหวัดนครนายก 10 ปีต่อครั้ง เป็นต้น ติดต่อสอบถาม ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดนั้นได้เลย

ผู้ที่ต้องการทะเบียนประมูลจำเป็นต้องมีหลักประกันที่ต้องจ่ายในเบื้องต้นก่อนเข้าร่วมประมูล

โดยหลักประกันเป็นเงินที่ต้องชำระก่อนที่จะได้สิทธิเข้าร่วมประมูล จะแยกตามกลุ่มเลข ดังนี้

กลุ่มที่ 1

- เลขสี่ตัวเหมือน เช่น 1111 2222 9999

ราคาหลักประกันต่อ 1 หมายเลข 30,000 บาท

(5,000 บาท สำหรับส่วนภูมิภาค)

กลุ่มที่ 2

- เลขสามตัวเหมือน เช่น 111 222 999

- เลขสองตัวเหมือน เช่น 11 22 99

- เลขตัวเดียว เช่น 1 2 9 และเลขคู่ 8 เลขคู่ 9

ได้แก่ 8899 9988 8989 9898 8998 9889

ราคาหลักประกันต่อ 1 หมายเลข 10,000 บาท

(2,000 บาท สำหรับส่วนภูมิภาค)


กลุ่มที่ 3

- เลขหลักพัน เช่น 1000 2000 9000

- เลขเรียง และเลขคู่

ราคาหลักประกันต่อ 1 หมายเลข 3,000 บาท

(1,000 บาท สำหรับส่วนภูมิภาค)


กลุ่มที่ 4

- เลขคู่ติด 0 เลขคู่ติด 6 เช่น 2266,7007

ราคาหลักประกันต่อ 1 หมายเลข 1,000 บาท

(500 บาท สำหรับส่วนภูมิภาค)


กรมขนส่งได้เปิดช่องทางการเข้าร่วมประมูลหมายเลขทะเบียนรถผ่านทางอินเตอร์เน็ตเพื่อความสะดวกไว้ด้วย ต้องมีเอกสารดังนี้

- บุคคลธรรมดา สำเนาบัตรประชาชน, ใบลงทะเบียน(สามารถพิมพ์ได้จาก Website), หลักฐานการโอนเงิน

- นิติบุคคล สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทหรือหนังสือรับรองการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด, สำเนาบัตรประชาชนของกรรมการบริษัทผู้มีอำนาจลงนาม(กรณีบริษัท) หรือหุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจลงนาม(กรณีหจก.), ใบลงทะเบียน , หลักฐานการโอนเงินทั้ง 2 กรณีหากไม่ได้เข้าร่วมประมูลเองต้องมีการมอบอำนาจ โดยมีเอกสารเพิ่มเติมคือหนังสือมอบอำนาจพร้อมติดอากรแสตมป์ 10 บาท, สำเนาบัตรประชาชน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tabienrod.com/


2. เลขหมวดที่ไม่ต้องประมูล (ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)

ถ้าเลขที่อยากได้ไม่ได้อยู่ในหมวดเลขสวยๆ ต้องเข้าไปเลือกเองจองเอง "เจ้าของรถ(ชื่อคนซื้อ)ต้องไปจองเองหรือญาติพี่น้องที่นามสกุลเดียวกันกับเจ้าของรถเท่านั้น" (มอบอำนาจให้คนอื่นไปจองแทนก็ไม่ได้เช่นกัน) โดยนำบัตรประชาชนไปยื่นพร้อมแบบฟอร์มคำขอ

ก่อนไปควรเลือกตัวเลขที่ชอบไว้สัก 10 ชุด (เพื่อความรวดเร็ว) ตอนกรอกแบบฟอร์มก็เรียงลำดับตามความชอบ 1-10

หากเลขที่เราชอบยังว่างหรือไม่มีใครจองไปก่อน ก็ได้ทันที เสร็จแล้วจะได้ใบจองเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ มา เอาไปจองนี้โทรไปบอกเซล ที่เหลือเซลจะจัดการขั้นตอนที่เหลือให้ ต้องจดทะเบียนภายใน 60 วัน

เช็คว่าตอนนี้เปิดให้จองถึงหมวดไหนแล้วที่นี่ ---> http://apps.dlt.go.th/vrtsdi/number.htm


สถานที่ติดต่อ อาคาร 2 ชั้น 5 กรมการขนส่งทางบก
เวลา 08.30 - 16.00 น. (พัก 12.00 - 13.00)

review - BMW Z4 GT3 (2010)

BMW Z4 GT3

BMW Z4 GT3


BMW Z4 GT3
By Ben Pulman
First official pictures
08 March 2010 09:30



Z4 M fans look away now – this is an officially sanctioned BMW Z-car with the 4.0-litre V8 engine from an M3. This is the BMW Z4 GT3.

I thought BMW wasn’t going to build a V8 version of its new Z4?
It isn’t, at least not for the road – the Bavarian company maintains that its sDrive 35iS Z4 with a 335bhp twin-turbo straight is as far as it’ll go. But racers are treated differently – BMW’s Motorsport division has built a V8-engined Z4 and will sell it to customers to race in competitions like the FIA GT3 championship.

And it’s the V8 from the BMW M3?
Yes – squeezed under that long bonnet is the same 4.0-litre V8 you’ll find in BMW’s finest M-car. And with the same ECU and control units that have proven themselves on the GT2-spec M3, plus a racing exhaust, power is up from 414bhp to around 480bhp, and there’s 339lb ft too (up from 295lb ft).

The rest is typical race race: a six-speed sequential ‘box sends power to the rear wheels, adjustable dampers sort the suspension, massively blistered bodywork to accommodate the wider track, new rims and slick tyres, and a front splitter, big rear wing and huge diffuser take care of the aerodynamics. A strict diet that’s seen the addition of a fixed roof and bidden goodbye to all the luxuries has helped cut the kerbweight from the 35iS' 1525kg to 1200kg. Sales start this summer, and you’ll need £315,000 for the pleasure.

Credit: http://www.carmagazine.co.uk